เสียมราฐ
เสียมราฐ (ตัวอักษร "สยามแพ้") คือไม่ต้องสงสัยเมืองที่เติบโตเร็วที่สุดของกัมพูชาและทำหน้าที่เป็นเกตเวย์เมืองเล็ก ๆ ที่มีเสน่ห์กับโลกที่มีชื่อเสียงของหัวข้อนครวัด ขอบคุณผู้สถานที่ท่องเที่ยวกัมพูชาเสียมราฐที่มีการตัวเองเข้าสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่สำคัญ มันเป็นวางกลับและสถานที่ที่ดีที่จะอยู่ในระหว่างการเดินทางวัด เสียมราฐมีกว้าง ช่วงของโรงแรม ตั้งแต่โรงแรมระดับ 5 ดาวหลายร้อยเกสต์เฮ้าส์ในขณะที่งบประมาณการเลือกขนาดใหญ่ของร้านอาหารมีหลายชนิดของอาหาร
วิหาร Preah
ขาพระวิหาร
เป็นบริเวณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนพื้นเมืองสมัยก่อน ในกษัตริย์ชัยวรมันที่ 2 ได้กำหนดเขตบริเวณนี้และเรียกชื่อว่า "ภวาลัย" ภายหลังปรากฏชื่อในจารึกภาษาสันสกฤตว่า "ศรีศิขรีศวร" หมายความว่า "ผู้เป็นใหญ่แห่งภูเขาอันประเสริฐ" ตั้งอยู่บนยอดเขาในเทือกเขาพนมดงรัก
ตามแนวเส้นกั้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา จากหลักฐานต่างๆ คาดว่าสร้างในปี
พ.ศ.1432-1443 ในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 เพื่อใช้เป็นสถานที่สักการะตามความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์
โดยสมมติให้เปรียบเสมือน "เขาพระสุเมรุ" (ศูนย์กลางของจักรวาล)
โดยการสร้างนั้นก็มีเหตุผลในการรวบรวมอำนาจและความเชื่อของคนในละแวกนั้นเข้าด้วยกัน
เพราะในอดีตแถบนั้นมีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่รวมกัน พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1
จึงโปรดให้สร้างเขาพระวิหารขึ้น
เพื่อเป็นจุดยึดเหนี่ยวและศูนย์รวมจิตใจของ
ชาวบ้านซึ่งจะทำให้การปกครองง่ายขึ้นด้วย ปราสาทเขาพระวิหารเป็นวัดที่ตั้งอยู่บนยอดเขมรหน้าผา 525 เมตร
(1,722 ฟุต) ในเทือกเขาDângrêkบนพรมแดนระหว่างกัมพูชาและไทยมันมีตั้งค่างดงามที่สุดของทุกวัดเขมรมากที่สุด
เจดีย์เงิน
ตั้งอยู่ภายในบริเวณพระบรมมหาราชวังใน กรุงพนมเปญ ที่บ้านพระเจดีย์เงินสมบัติของชาติหลายอย่างเช่นทองและพระพุทธรูปประดับด้วยเพชรพลอย ที่โดดเด่นที่สุดในศตวรรษที่เล็กบาคาร่าที่ 17 คริสตัลพระพุทธเจ้า
(พระศรีรัตนศาสดารามของกัมพูชา) และชีวิตขนาดทอง Maitreya พระพุทธเจ้าตกแต่งด้วยเพชร 9584 เป็น ผนังภายในของลานพระเจดีย์เงินตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังสีมั่งคั่งและรายละเอียดของตำนานรามเกียรติ์ทาสี1903-1904 โดย 40 ศิลปินเขมร
นครวัด
“นครวัด”
หรือฝรั่ง(เศส) เรียก อังกอร์วัด-Angkor Wat เป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานที่เรียกรวมกันว่า
“เมืองพระนคร” มี “นครธม” โดดเด่นเคียงคู่ ตั้งอยู่ที่เมืองเสียมราฐ
(เจ้าของบ้านออกเสียง เสียมเรียบ)
กัมพูชานครวัดสร้างในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้ครองอาณาจักรขอมช่วง
พ.ศ.1656-1693 ซึ่งขณะนั้นพราหมณ์ฮินดูไวษณพนิกาย
นับถือพระวิษณุ (พระนารายณ์) เป็นมหาเทพ รุ่งเรือง สุริยวรมันที่ 2 ทรงสร้างปราสาทนครวัดเป็นเทวาลัยบูชา และให้เป็นที่เก็บพระศพของพระองค์
(ทรงได้พระนามภายหลังสิ้นพระชนม์ว่า บรมวิษณุ ส่งผลนครวัดมีอีกชื่อว่า
บรมวิษณุมหาปราสาท) นครวัดจึงแตกต่างกับปราสาทอื่นๆ ตรงที่หันหน้าไปทางทิศตะวันตก
ซึ่งเป็นทิศของผู้ตาย แทนทิศตะวันออกตามขนบล่วงเข้าสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ทรงเปลี่ยนนครวัดเป็นศาสนสถานพุทธนิกายมหายาน
จากช่วงเริ่มสร้างกลางพุทธศตวรรษที่ 17 (พ.ศ.1650-1693)
ที่เป็นเทวสถานฮินดู ครั้นถึง พ.ศ.1720 จามบุกขอม
ชัยวรมันที่ 7 ต้องทรงย้ายไปเมืองนครหลวง
ให้สร้างเมืองนครธมและปราสาทบายน ห่างจากนครวัดไปทางเหนือ เป็นเมืองหลวงใหม่เวลาผ่านเนิ่นนานถึงสมัยนักองค์จันทร์ (พ.ศ.2059-2099) อาณาจักรขอมยุคเมืองพระนครซึ่งล่มสลายโดยสิ้นเชิงไปแล้วด้วยฝีมือ “เจ้าสามพระยาแห่งกรุงศรีอยุธยา” ที่ยกทัพไปตีทำลายขวัญเมืองนครธม
หรือกรุงศรียโสธรปุระ ชนิดมิอาจฟื้นคืน (รัชสมัยพระเจ้าชัยปรเมศวร หรือชัยวรมันที่
9) ขอมซึ่งเปลี่ยนกลับมานับถือ ฮินดู
แต่เป็นลัทธิไศวนิกาย บูชาพระศิวะ คือพระอิศวร ตั้งแต่ยุคพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 มาเข้าสู่พุทธศาสนาอีกครั้ง
เป็นพุทธหินยานแบบอยุธยา
พร้อมเมืองหลวงถอยร่นลงทางใต้เรื่อยๆชนนีนักองค์จันทร์ขึ้นเหนือไปทำบุญ
พบปราสาทโบราณถูกทิ้งร้าง บางส่วนสร้างไม่เสร็จ
นักองค์จันทร์จึงบัญชาให้คนไปสร้างต่อ ทั้งให้สร้างพระพุทธรูปไว้บนระเบียงคด
และบนปรางค์ปราสาทมากมาย สุสานเทวาลัยจึงกลายเป็นวัดในพุทธศาสนาที่ชื่อ “นครวัด” ซึ่งมาจาก นอกอร์ หมายถึง นคร บวกคำ วัด
ก่อนฝรั่งเศสเรียกชื่อ นอกอร์วัด เพี้ยนเป็น อังกอร์วัด
ใช้มาจนทุกวันนี้กว่าจะเป็นปราสาทนครวัด ต้องใช้หินปริมาตรหลายล้านลูกบาศก์เมตร
มีหินทรายเป็นวัสดุก่อสร้างหลัก ใช้แรงงานช้างนับหมื่นเชือก แรงงานคนนับแสน
ขนและชักลากหินมาจากเขาพนมกุเลนชึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 50 กิโลเมตร
มาสร้างปราสาทนครวัดมีเสา 1,800 ต้น หนักต้นละกว่า 10
ตัน และเพราะไม่ได้เป็นเพียงศาสนสถาน ยังเป็นราชธานีด้วย
อาณาบริเวณจึงกว้างใหญ่ไพศาล มีความยาว 1.5 กิโลเมตร กว้าง 1.3
กิโลเมตร รวมพื้นที่ 1,219 ไร่ หรือราว 200,000
ตารางเมตร มีแผนผังที่ถือเป็วิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม
มีปราสาท 5 หลัง ตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติฮินดู
คือเป็นศูนย์กลางของโลกและจักรวาล คูน้ำล้อมรอบตามแบบมหาสมุทรล้อมเขาพระสุเมรุกำแพงชั้นนอกรอบปราสาทแสนสุดอลังการด้วยงานสลักหิน
เหนืออื่นใดคือภาพเล่าวรรณคดี รามายณะ
รูปแกะสลักที่มีชื่อที่สุดคือรูปเทวดากับอสูรกวนเกษียรสมุทรด้วยเขาพระสุเมรุ
รวมถึงนางอัปสร หรืออัปสรา 1,635 นาง
ที่ทั้งหมดทรงเครื่องและทรงผมไม่ซ้ำกันเลย และมีภาพจำหลักหินด้านหนึ่งเป็นภาพกองทัพสยามที่ส่งไปช่วยรบกับพวกจาม
เคยมีอักษรจารึกกำกับเหนือภาพไว้ว่า “สยำ กุก” (ปัจจุบันถูกเอาออกไปแล้ว) สันนิษฐานว่าน่าจะหมายถึงทัพสยามจากลุ่มแม่น้ำกก
คือเชียงราย เชียงแสน หรือจากสุพรรณบุรีผ่านหลายศตวรรษจากยุคขอมรุ่งโรจน์ นครวัดถูกทิ้งร้างให้ป่ารกปกคลุม
กระทั่งการเดินทางมาของคนต่างถิ่นและแจ้งเกิดสู่โลกภายนอกชาวต่างด้าวคนแรกที่บันทึกเรื่องมหานครแห่งนี้คือ
“โจวต้ากวาน” นักบันทึกประวัติศาสตร์ผู้เข้าเมืองพระนครพร้อมกับคณะทูตจีนที่ราชวงศ์หยวนส่งมาในพ.ศ.
1839 รัชสมัยพระเจ้าอินทรวรมันที่ 3 ช่วงปลายของยุคเมืองพระนคร
ก่อนย่อยยับด้วยฝีพระหัตถ์เจ้าสามพระยาร่วม 1 ปีที่โจวต้ากวานอยู่ในอาณาจักรแห่งนี้
เขาบันทึกความเป็นอยู่ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีไว้อย่างละเอียด
เป็นกุญแจนำสู่คำตอบสำคัญที่บอกว่าชีวิตของเมืองพระนครเป็นอย่างไร ปราสาทหินมากมายนั้นสร้างไว้เพื่อใช้ในการอันใดบ้าง
เป็นบันทึกที่นักวิชาการตะวันตกโดยมากยอมรับข้อมูล ด้วยเหตุผล
โจวต้ากวานถ่ายทอดภาพเมืองพระนครที่ยังมีชีวิตตามที่มันเป็นอยู่จากนั้นเมื่อกษัตริย์รุ่นต่อมาย้ายเมืองหลวงลงไปทางใต้
และพ้นจากสมัยที่นักองค์จันทร์ให้บูรณะปราสาทนครวัด
ก็ไม่ปรากฏเรื่องราวของกษัตริย์ขอมโบราณอีกเลย
แผ่นดินอันรุ่งเรืองเปลี่ยนแปลงเป็นอนิจจังถึงบทสิ้นสูญ ปราสาทต่างๆ
ถูกปล่อยร้างและที่สุดก็ซุกหายจากสายตาไปเป็นส่วนหนึ่งของพงไพรมีบันทึกว่าก่อนถึง
อองรี มูโอต์ มีนักบวช นักแสวงบุญ นักเผชิญโชค เดินทางถึงนครวัดมาแล้ว อาทิ บี.พี.
กรอสลิเออร์ ชาวโปรตุเกส พ.ศ.2091 เขียนบันทึกชื่อ Angkor
et le Cambodge au XVIe siecle ตามด้วย ดิโอโจ โด กูโต
เจ้าหน้าที่อาลักษณ์บันทึกพงศาวดารโปรตุเกสประจำอินเดีย
ซึ่งเป็นผู้ที่เขียนบันทึกถึงเมืองพระนครไว้มากที่สุด
และอันโตนิโอ ดา มักดาเลนา นักบวชโปรตุเกส ผู้มาในปีพ.ศ. 2129 รวมถึงมาร์เซลโล เดอ
ไรบา-เดอเนียรา ทหารรับจ้างชาวสเปน พ.ศ.2136 กับ ชิมาโน
เคนเรียว ล่ามชาวญี่ปุ่นที่อยู่ในเขมรระหว่าง พ.ศ.2166-2179ผ่านมาถึงแผ่นดินรัชกาลที่
4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส อองรี
มูโอต์ เดินทางมาศึกษาพรรณพืชเมืองร้อน จากเมืองไทย
มูโอต์เข้ากัมพูชาทางทะเลตะวันออก ขึ้นบกที่เมืองกำปอตเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2403
ถึงเมืองพระตะบอง มิชชันนารีชาวฝรั่งเศสด้วยกันบอกเขาว่า
อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบเมืองเสียมเรียบ มีซากโบราณสถานซ่อนอยู่ในป่าใหญ่
มูโอต์ข้ามทะเลสาบสู่เสียมเรียบ บุกเข้าป่าทึบ ได้พบปราสาทนครวัดเป็นแห่งแรก
เป็นการค้นพบโบราณสถานที่สำคัญของโลก หลังจากดินแดนขอมโบราณสาบสูญไปกว่า 4 ศตวรรษครั้นกลับฝรั่งเศส เขาเขียนหนังสือบรรยายถึงสิ่งที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไรแน่ในเวลานั้น
ว่า “นี่คือความยิ่งใหญ่ที่ท้าทายวิหารโซโลมอน
มันถูกสร้างขึ้นโดยน้ำมือของไมเคิล แองเจโล แห่งยุคบรรพกาล
และสามารถยืนเคียงกับสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่สุดของโลกตะวันตกได้อย่างเต็มภาคภูมิ
มันยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดๆ ที่กรีกและโรมันทิ้งไว้เป็นมรดกแก่เรา
เป็นภาพขัดแย้งอันน่าสลดใจท่ามกลางความเสื่อมโทรมป่าเถื่อนของดินแดนที่ให้กำเนิดมันขึ้นมา”
(สำนวนแปล จิระนันท์ พิตรปรีชา หนังสือตำนานนักเดินทาง สนพ.สารคดี)3
ปีหลังจากมูโอต์ค้นพบนครวัดและนครธม ฝรั่งเศสก็บุกกัมพูชา
ยึดเป็นเมืองขึ้นเมื่อ พ.ศ.2406 โบราณสถานเมืองพระนครถูกปล้นอย่างถูกกฎหมายโดยเจ้าอาณานิคมและนักค้าของเก่าจากทุกสารทิศ
ที่เห็นทุกวันนี้คือสิ่งที่เหลือรอดมา ที่น่าสนใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศกัมพูชาและเป็นหนึ่งในโบราณสถานที่งดงามที่สุดในโลก Angkor เป็นวัดที่ซับซ้อนมากมายมีซากของเมืองหลวงหลายอาณาจักรเขมรจาก9 ถึงศตวรรษที่ 15 เหล่านี้รวมถึงที่มีชื่อเสียงนครวัดวัดใหญ่ที่สุดในโลกอนุสาวรีย์ศาสนาเดียว Bayon Temple (ที่ Angkor
Thom) กับหลากหลายของใบหน้าหินขนาดใหญ่และ Ta
Prohm, วัดในพุทธศาสนาทำลายโอบแล้วกับต้นไม้สูงตระหง่าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น