ประเทศอินโดนีเซีย

    เกาะกีลี (Gili Islands)


              สำหรับ เกาะกีลี เป็นแหล่งพักผ่อนอีกแห่ง ที่นักท่องเที่ยวนิยมมา โดยเป็นเกาะที่มีหมู่เกาะขนาดเล็กอีก 3 เกาะ คือเกาะทราวานกัน เกาะกีลี เมโน และเกาะกีลี แอร์ หมู่เกาะแห่งนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผ่อนคลาย เอนตัวลงนอนพักผ่อนริมหาดทรายขาวนวล และเพลิดเพลินไปกับคาเฟ่ริมหาดที่เล่นดนตรีเร็กเก้คลอเคล้า โดยที่ไม่มีเสียงรถยนต์หรือมอเตอร์ไซด์มารบกวนช่วงเวลาแห่งความสุขแน่นอน



ภูเขาไฟโบรโม 

           ภูเขาไฟโบรโม่เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้วลูกหนึ่งของอินโดนีเซีย แต่ไม่ดับสนิท หลักฐานทางภูมิศาสตร์ของประเทศอินโดนีเซียบอกไว้ว่าทั้งประเทศมีภูเขาไฟทั้งสิ้นร่วม 400 ลูกและภูไฟประมาณ  70-80 ลูกซึ่งพร้อมจะระเบิดได้ตลอดเวลา คำว่าโบรโม (Bromo) แปลว่า ไฟ  ภูเขาไฟลูกนี้อยู่ในเขตชวาตะวันออกลงไปทางใต้ของเมืองสุราบายา  การเดินทางออกจากเมืองย็อกยาไปยังเมืองสุราบายาโดยรถไฟด่วนพิเศษซึ่งภายในห้องโดยสารออกแบบเหมือนห้องโดยสารของเครื่องบินพาณิชย์  มีเบาะนั่งกว้างหมุนได้รอบตัว  ปรับเอนเป็นที่นอนได้  มีพื้นที่วางเท้า  กับโฮสเตสาวเดินบริการอาหารและเครื่องดื่ม  ระยะทางจากเมืองย็อกยาถึงเมือง สุราบายาประมาณ 300 กิโลเมตร  รถไฟใช้เวลาเดินทางประมาณ  4  ชั่วโมงสองข้างทางรถไฟสวยงามด้วยภาพทุ่งรวงทองของท้องนาอันกว้างใหญ่ไพศาลตลอดทางจากเมืองย็อกยาไปจนจรดเขตจังหวัดสุราบายาบนถนนแคบๆ ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,000 กว่าเมตร เป็นเส้นทางผ่านหมู่บ้านเล็กๆ ข้างทาง จนถึงจุดหมายบนยอดเขาพีนานจากาน(Penajakan) ซึ่งมีความสูง 2,770 เมตร เป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดของอุทยานแห่งชาติโบรโม(Bromo Tengger  Semeru  National  Park )บนยอดเขาพีนานจากานมักเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว  มีร้านขายของที่ระลึกหลายร้านนักท่องเที่ยวที่หนาวจนทนไม่ไหวจะเช่าเสื้อกันหนาวใส่  หรือเข้าไปอาศัยไออุ่นจากเตาถ่านในร้านค้าที่เจ้าของร้านทุกร้านเตรียมไว้ให้ก็ได้ในร้านค้าที่นอกจากจะขายของที่ระลึก  โปสการ์ด  หนังสือ  เสื้อ  หมวก  ผ้าพันคอ ฯลฯ  ยังมีบริการ กาแฟร้อนๆ อีกด้วย  ส่วนที่ขายดีที่สุดคือหมวกไหมพรม  เพราะอุณหภูมิขณะที่อยู่บนยอดพีนานจากานประมาณ 5-7 องศาเซลเซียสเท่านั้น  ในที่โล่งแจ้งมีน้ำค้างที่เปียกชื้นเหมือนฝนตกตลอดเวลา ภูเขาไฟโบรโมสูง 2,392 เมตร  เป็นภูเขาไฟที่เคยระเบิดแล้วแต่เวลานี้สงบอยู่  ภูเขาไฟที่อยู่ติดกันคือ  ภูเขาไฟบาต็อก(Batok)  สูง  2,440 เมตร ส่วนภูเขาที่อยู่ไกลออกไป  รูปทรงสวยงามเหมือนหญิงสาว  เป็นภูเขาไฟที่สูงที่สุดคือสูง 3,676 เมตร ชื่อ  ภูเขาไฟเซเมรู (Semeru)  เป็นภูเขาไฟที่ยังมีความร้อนระอุอยู่ข้างในตลอดเวลา  นานๆทีก็จะระบายความร้อนเป็นควันออกมา  บางทีก็มีเสียงดังคล้ายเสียงปะทุของโคลนเดือดดังออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟลูกนั้น  รอบหุบเขาเป็นทะเลทราย  ซึ่งเกิดจากเถ้าถ่านและฝุ่นผงจากการระเบิดของภูเขาไฟโบรโม  ภูเขาไฟโบรโมเคยระเบิดมาแล้วถึง 3 ครั้งในช่วงระยะเวลาเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา  ครั้งล่าสุดระเบิดเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004  เพราะภูเขาไฟโบรโมจัดว่าเป็นภูเขาไฟหลับ  ปัจจุบันโบรโมยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา  ที่เห็นได้ชัดคือกลุ่มควันกลุ่มใหญ่ที่พวยพุ่งมาจากปากปล่องภูเขาไฟภููเขาไฟที่มีการระเบิดจะพ่นลาวา (หินละลาย)  ออกมาแตกต่างกัน  บางที่  เช่นแถบฮาวายจะพ่นลาวาร้อนเหลวไหลเอื่อยออกมาเมื่อปะทะความเย็นของน้ำทะเลก็จะแข็งตัวเหมือนการเคลือบช็อกโกแลต  ภูเขาไฟบางแห่งปะทุลาวาที่ร้อนจัดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงมาก  เมื่อกระจายตกไปยังที่ต่างๆ เช่น ป่า หรือ บ้านผู้คน  ก็จะเกิดเพลิงไหม้ตามมา  ส่วนภูเขาไฟโบรโม  เวลาระเบิดมันจะปะทุลาวาเศษหินร้อน (Magma)  กับพ่นเถ้าถ่านฝุ่นควันเป็นกลุ่มมหึมาขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นดอกเห็ด คล้ายระเบิดปรมาณู  แล้วโปรยเถ้าร้อนๆกระจายไปทั่วสารทิศภูเขาไฟโบรโม อยู่ในเทือกเขาเทงเกอร์ ในทางตะวันออกของเกาะชวา ซึ่งปัจจุบันภูเขาไฟแห่งนี้ยังคุกรุ่นอยู่ โดยปล่องภูเขาไฟมีความสูงอยู่ที่ 2,329 เมตร แม้ภูเขาแห่งนี้จะไม่ใช่ลูกที่สูงที่สุด แต่ก็เป็นภูเขาที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด และเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอีกแห่ง

 



 วัดพรัมบานัน 

       วัดพรัมบานัน : Prambanan Temple พรัมบานันเป็นวัดฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซียหรือจะเรียกว่าใหญ่ที่สุดในเอเซียอาคเนย์เลยก็ได้ ตั้งอยู่ที่เมืองพรัมบานันตอนกลางของเกาะชวา และอยู่ไม่ไกลจากยอกยากาตาร์มากนัก วัดถูกสร้างขึ้นเมื่อราวปี พ.ศ. 1340 โดยสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์ Rakai Pikatan จากราชวงศ์ Mataram ที่ 2 หรืออาจะสร้างในสมัยกษัตริย์ Balitung Maha Samba จากราชวงศ์ Sanjaya ได้รับความเสียหายมากในช่วงปี 2006 เพราะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่นี่ จนเมื่อถึงปี พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) จึงได้มีการเริ่มบูรณะวัดขึ้นมา การบูรณะของสิ่งก่อสร้างหลักสิ้นสุดลงเมื่อปี พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953)ในปัจจุบัน พรัมบานันถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลกและนับได้ว่าเป็นหนึ่งในศาสนสถานในศาสนา ฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ตัววัดโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและความใหญ่โตของปรางค์ซึ่งมีความสูงถึง 47 เมตรวัดพรัมบานัน หรือเป็นที่รู้จักสำหรับคนท้องถิ่นว่า โรโร จองกรัง (Roro Jonggrang) ถือว่าเป็น 1 ในวัดฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่จะมีแท่นบูชาหลัก 3 ที่ ซึ่งอุทิศให้แก่ เทพเจ้าฮินดู 3 องค์ ได้แก่ พระพรหม พระศิวะและ พระวิษณุ สำหรับผู้มาเยี่ยมชมและนักท่องเที่ยวทั้งหลายนั้นจะได้รับอนุญาตให้เข้าชมเป็นบางส่วนเท่านั้น เพราะบางส่วนได้รับความเสียหายจากในอดีต แต่ที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง คือการชมพระอาทิตย์ขึ้นบริเวณหลังวัดแห่งนี้ เวลาประมาณตี 5 ที่เหมาะที่สุดในการชม

 




เกาะบาหลี 


เชื่อกันว่าคนกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบาหลีน่าจะอพยพมาจากประเทศจีนเมื่อสมัย 4,500 ปี แต่ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ใดๆหลงเหลืออยู่ ส่วนหลักฐานเก่าแก่ที่สุดยังปรากฏ เช่น ระบบของการทำเกษตรกรรม และการผลิตข้าว เช่นเดียวกับที่ยังพบเห็นได้ในปัจจุบันมาจากยุคสำริด คือประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล และมีการพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นโบราณวัตถุทางศาสนาฮินดูจากศตวรรษที่ 3 และ 4 แต่ภายหลังปรากฏว่าศาสนาพุทธได้กลายเป็นศาสนาประจำของชาวบาหลีในยุคแรก เพราะคำว่าบาหลีถูกพบในบันทึกของนักปราชญ์ชาวจีนเมื่อปีคริสตศักราชที่670ว่าขณะเดินทางไปยังอินเดีย ได้แวะยังดินแดนชาวพุทธแห่งหนึ่งซึ่งก็คือบาหลีนั้นเองคริสต์ศตวรรษที่ 11 บาหลีจึงได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของฮินดูและชวา เจ้าชายแห่งบาหลีในขณะนั้นได้เผยแผ่อิทธิพลไปครอบครองทางฝั่งตะวันออกของชวาและสถาปนาน้องชายให้เป็นผู้ปกครองบาหลี จึงได้รับเอาศาสนาฮินดูจากชวาจึงเข้ามายังเกาะบาหลีบาหลีเองยังคงเป็นเอกราช จนกระทั่งปีค.ศ. 1284 กษัตริย์เกอร์ตาเนการาที่ปกครองชาวตะวันออกได้เข้าครอบครองบาหลี ถึงปีค.ศ. 1292 จึงได้เป็นอิสระอีกครั้ง เนื่องจากกษัตริย์เกอร์ตาเนการาถูกลอบปลงพระชนม์
ในปี ค.ศ. 1343 บาหลีก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของชวาอีกครั้ง ในสมัยของมัชปาหิต (Majapahit) ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่จนเมื่อมีการแผ่ขยายของศาสนาอิสลามจากเกาะสุมาตราและชวาในช่วงคริศต์ศตวรรษที่ 16 ทำให้อาณาจักรมัชปาหิตล่มสลายลง ราชนิกูลและศิลปินแขนงต่าง ๆ รวมทั้งนักบวชพากันลี้ภัยเข้ามาอยู่ในบาหลี อันเป็นผลให้ศิลปะของชวาดั้งเดิมเจริญรุ่งเรืองต่อมา จนเรียกได้ว่าเป็นยุคทองของประวัติศาสตร์วัฒนธรมบาหลีบาหลีในยุครุ่งเรืองแบ่งการปกครองออกเป็นอาณาจักรต่าง ๆ แต่อาณาจักรมีเจ้าผู้ครองเมืองหรือรายาเป็นประมุข และแต่ละอาณาจักรก็แย่งชิงอำนาจกันบ้าง ปรองดองกันบ้าง ปีค.ศ.1597 ชาวยุโรชาติแรกที่เดินเรือผ่านมาขึ้นบกยังบาหลีคือชาวดัตช์ แต่ชาวดัตช์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจที่จะครอบครองบาหลีทั้งที่ได้ดินแดนอินโดนีเซียส่วนใหญ่ไว้เป็นอาณานิคมแล้ว ต่อมาปี ศ.ศ. 1846 ดัตช์จึงเริ่มส่งกองทหารสู่บาหลีและเข้ายึดครองอาณาจักรต่างๆทีละอาณาจักร โดยใช้กองกำลังทหารเข้าบีบบังคับให้รายายอมจำนน ซึ่งรายาและราชวงศ์ส่วนใหญ่ของบาหลีเลือกวิธีรักษาศักดิ์ศรี โดยไม่ยอมตกเป็นค่าเมืองขึ้นด้วยวิธีการฆ่าตัวตายหมู่(Puputan) ทั้งราชสำนัก ในปีค.ศ.1908 จนปีค.ศ.1911 บาหลีทั้งหมดก็ตกเป็นของดัตช์โดยสิ้นเชิง ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ดัตช์ ได้ถูกญี่ปุ่นซึ่งขณะนั้นสามารถยึดครองอินโดนีเซียได้ในระหว่างปีค.ศ. 1942-1945 อินโดนีเซียได้ประกาศให้เป็นประเทศอาณาณิคมและมีประธานาธิบดีคนแรกคือซูการ์โน แต่ก็ต้องใช้เวลายาวนานกว่า4ปีเพื่อให้ได้เอกราชอย่างแท้จริง เพราะดัตช์ไม่ยอมวางมือ กระทั่งรัฐบาลดัตช์ทนต่อการกดดันจากนานาชาติไม่ไหวจึงล้มเลิกความพยายามในปีค.ศ. 1949 ทำให้อินโดนีเซียได้เป็นประเทศเอกราชอย่างเต็มภาคภูมิ โดยมีบาหลีเป็นส่วนหนึ่งของประเทศด้วยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เกาะบาหลี เกาะที่ได้รับความนิยมสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก และได้รับรางวัลในด้านการท่องเที่ยวมาโดยตลอด อาจเพราะภูมิประเทศที่มีความงดงามความหลากหลาย ทั้งชายฝั่งทะเล ชายหาดในเขตร้อนชื้น นาข้าวที่เขียวชอุ่มลาดไปตามทางเป็นขั้น และภูเขาไฟตามไหล่เขา ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ ได้สรรค์สร้างทัศนียภาพที่มีฉากหลังอันเป็นสีสันแห่งความงดงาม จิตวิญญาณที่แสนลึกซึ้งและความเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมฮินดู มากไปกว่านั้นผู้คนในประเทศยังความเป็นกันเองต่อแขกผู้มาเยือน  แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลกให้มาเยือนที่นี่ ก็เพราะมีชายหาดที่เหมาะกับการเล่นเสิร์ฟ ดำน้ำ และดื่มดำไปกับท้องทะเลอันสวยงาม

 






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น